วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คำคมจากขงเบ้ง


คำคมจากขงเบ้ง




ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุด ก็จะกลายเป็น ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว    แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

เล่นหมากรุกอย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตจะไม่คิดได้อย่างไร

เมื่อใครคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าพึ่งตำหนิ หรือด่าว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านก็อาจตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหาร คือ การทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือของผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

เมื่อนักการทูตบอกว่า “ได้” เขามีความหมายว่า “อาจจะ”
เมื่อนักการทูตบอกว่า “อาจจะ” เขามีความหมายว่า “ไม่ได้”
เมื่อนักการทูตบอกว่า “ไม่ได้” เขาก็ไม่ใช่นักการทูต

เมื่อผู้หญิงบอกว่า “ไม่” หล่อนมีความหมายว่า “อาจจะ”
เมื่อผู้หญิงบอกว่า “อาจจะ” หล่อนมีความหมายว่า “ได้”
เมื่อสตรีบอกว่า “ได้” หล่อนก็ไม่ใช่ผู้หญิง

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตนเอง
คนส่วนใหญ่ใส่ใจใส่ใจกับผลที่ได้ในระยะสั้นเท่านั้น
แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปในอนาคต

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุนทรพจน์ของ สตีฟ จ๊อปส์


สุนทรพจน์ของ สตีฟ จ๊อปส์
ในพิธีมอบปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 12 มิถุนายน 2005
…………………………………………

ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่วันนี้ได้มาร่วมในพิธีมอบปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของโลก ความจริงที่ทุกคนรู้กัน ผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมได้เข้าใกล้พิธีรับปริญญาบัตรมากที่สุดในชีวิต วันนี้ผมจึงอยากจะขอเล่าเรื่อง 3 เรื่องในชีวิตของผม 3 เรื่องแค่นั้น

เรื่องแรกก็คือการลากเส้นต่อจุด
ผมได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากที่เรียนไปได้แค่ 6 เดือน แต่ก็ยังแอบเนียนเรียนต่ออยู่อีก 18 เดือน ก่อนจะออกจริงๆแล้วเพราะอะไรผมจึงลาออกล่ะ?

สาเหตุนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมเป็น นักศึกษาสาวที่ท้องก่อนแต่ง เธอตัดสินใจยกผมให้คนอื่นรับไปเลี้ยงดูแทน โดยตั้งใจไว้ว่าคนที่รับผมไปเลี้ยงต้องจบปริญญาตรีแล้วเท่านั้น ทุกอย่างจึงถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยว่า ผมจะได้พ่อบุญธรรมที่เป็นทนายความกับภรรยารับไปเลี้ยงดู

ทุกอย่างดูลงตัว ยกเว้น ตอนที่ผมคลอดออกมา พ่อแม่บุญธรรมที่เลือกผมไว้กลับเปลี่ยนใจว่าอยากได้ลูกผู้หญิง ดังนั้น พ่อแม่คนปัจจุบันของผมซึ่งมีชื่ออยู่ใน “รายชื่อผู้รอการอุปการะ” จึงได้โทรศัพท์ตอนกลางดึกคืนนั้น ปลายสายถามว่าเราบังเอิญได้เด็กทารกผู้ชาย พวกคุณอยากรับไปเลี้ยงไหม? พ่อแม่ผมจึงตอบกลับไปว่า “เอาซิ”

แต่แม่ผู้ให้กำเนิดผมมารู้ทีหลังว่า แม่คนปัจจุบันของผมไม่ได้จบปริญญา ส่วนพ่อคนปัจจุบันของผมก็ไม่ได้จบ ม.ปลายด้วยซ้ำ เลยจะเปลี่ยนใจไม่ยอมเซ็นเอกสารยกผมให้พ่อแม่คนปัจจุบันไปอุปการะ เธอลังเลใจอยู่นานแต่ในที่สุดก็ยอมยกผมให้ เพราะพ่อแม่คนปัจจุบันของผมจะเลี้ยงดูผมจนจบปริญญาตรีให้ได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตผม

17 ปีต่อมา ผมก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมก็ดันไปเลือกเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด แล้วผมก็ใช้เงินเก็บของพ่อแม่ผมที่เป็นแค่คนทำงานกินเงินเดือนมาเป็นค่าเทอม

หลังจากเรียนไปได้แค่ 6 เดือน ผมก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะได้อะไรจากสิ่งที่เรียนไป ผมไม่รู้แม่กระทั่งว่า ตัวเองอยากจะทำอะไร แล้วก็ไม่เห็นว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วผมจะเรียนผลาญเงินเก็บที่พ่อแม่หามาชั่วชีวิตไปทำไม ผมเลยตัดสินใจลาออก และได้แต่ภาวนาว่า ขอให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี ที่จริงแล้วผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว

ทันทีที่ผมลาออก ทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาที่ผมไม่อยากเรียน และได้เรียนวิชาที่ผมอยากเรียนมากกว่า แต่ชีวิตมันไม่ง่ายเหมือนในนิยาย ผมไม่มีหออยู่ จึงต้องอาศัยพื้นห้องของเพื่อนเป็นที่นอน ผมต้องเก็บขวดโค๊ก เอาไปแลกเพื่อจะได้เงินขวดละ 5 สตางค์ จะได้เอาเงินไปซื้อข้าว แล้วผมก็ต้องเดินไปโบสถ์ทุกคืนวันอาทิตย์ เป็นระยะทาง 5 ไมล์ เพื่อจะหาข้าวกินดีดีสักมื้อ แต่ผมก็ชอบนะ

แล้วการที่ผมทำตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของตัวเองนั้น ภายหลังกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ผมขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นมีวิชา การประดิษฐ์ตัวอักษร ที่อาจจะเรียกได้ว่า เยี่ยมที่สุดของประเทศ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ หรือป้ายที่ติดตามลิ้นชักต่างๆนั้น ล้วนแต่มีตัวหนังสือที่เขียนด้วยมือไว้อย่างสวยงามติดทั่วไปหมด เพราะว่าผมลาออก ผมเลยไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ผมจึงได้เรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร และเรียนรู้วิธีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา ผมเรียนรู้ว่าแบบตัวพิมพ์ Serif หรือ San Serif คืออะไร เรียนวิธีการวางช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนว่าการออกแบบตัวอักษรให้สวยงามนั้นทำกันอย่างไร มันเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สวยงาม และใช้การออกแบบที่ละเอียดอ่อนขนาดที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำได้เหมือน และที่สำคัญผมหลงใหลวิชานี้มากทีเดียว

แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะเอาเรื่องพวกนี้มาใช้ประโยชน์อะไรในชีวิตได้ จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา เมื่อผมกับเพื่อนออกแบบเครื่อง Macintosh เครื่องแรก ผมก็ได้รื้อพื้นวิชาพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เราได้ออกแบบตัวหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดลงไปในเครื่องแมค มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวหนังสืออย่างสวยงาม ถ้าไม่ใช่เพราะผมเลือกเรียนวิชานั้น เครื่องแมคก็คงไม่มีแบบตัวอักษรที่หลากหลาย และการจัดช่องไฟที่สวยงามแบบนี้ และถ้า Windows ไม่ได้มาลอกเลียนแบบจากแมคไปคงไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องไหนในปัจจุบันที่มีตัวอักษรสวยงามแบบนี้

ถ้าผมไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนนั้น ผมก็คงไม่ได้เรียนวิชาออกแบบตัวอักษร และคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ก็คงไม่มีฟอนท์สวยๆแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมจะพยายามลากเส้นต่อจุดอนาคตของตัวเองตอนที่ผมเรียนอยู่ แต่เมื่อมองกลับไป 10 ปี ให้หลัง จุดแต่ละจุดนั้นมันชัดเจนมากๆ ดังนั้น ผมขอบอกว่า เราไม่สามารถลากเส้นต่อจุดเมื่อมองมันไปในอนาคต เราจะได้เห็นมันก็ต่อเมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตเท่านั้น คุณจึงต้องเชื่อว่า จุดทั้งหลายที่ได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อกันเองในอนาคต คุณจะต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่ เพราะความเชื่อที่เรามีต่อจุดแต่ละจุดนั้นในที่สุดมันจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเอง และมันจะให้ความมั่นใจ

ทำตามที่หัวใจคุณต้องการ ถึงแม้ว่าบางครั้งมันอาจจะพาคุณออกนอกเส้นทางบ้าง และสิ่งนั้นจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับ ความรักและการสูญเสีย ผมโชคดีที่พบกับสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอช เริ่มทำบริษัทแอปเปิ้ลด้วยกันในโรงรถของพ่อตอนอายุ 20 ปี เราทำงานกันอย่างหนัก 10 ปี ต่อมา แอปเปิ้ลเติบโตจากเราสองคนที่ทำงานกันในโรงรถกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้าน ดอลล่าร์ มีพนักงานมากกว่า 4,000 คน เราเปิดตัวประดิษฐ์กรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรานั่นคือ แมคอินทอซ ปีเดียวก่อนที่ผมจะอายุครบ 30 ปี

หลังจากนั้นผมก็ถูกไล่ออก คนเราจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือได้อย่างไร? คืออย่างนี้ครับ ในขณะที่ แอปเปิ้ลเติบโตขึ้น เราก็จ้างคนที่ผมคิดว่ามีความสามารถมาก มาบริหารบริษัทกับผม ช่วงปีแรกก็ผ่านไปด้วยดี  แต่หลังจากนั้น วิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มไปคนละทาง จนในที่สุดก็ถึงขั้นแตกหัก และกรรมการบริษัทคนอื่นๆ ก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้นด้วย ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็เป็นการออกที่เป็นข่าวครึกโครมด้วย

ผมสูญเสียสิ่งที่ผมทุ่มเทมาตลอดในช่วงวัยทำงานของผม สำหรับผมแล้วเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนกับหายนะ ผมเสียศูนย์หลังจากนั้นไปอีกหลายเดือน เพราะผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองทำให้นักธุรกิจในยุคก่อนหน้าผมต้องเสื่อมเสีย เหมือนกับผมเป็นวายทยากรที่ทำไม้บาตองที่รับสืบทอดมาตกลงไป

ผมได้พบกับ เดวิด แพคการ์ด และบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษที่ผมทำให้วงการเสื่อมเสีย ความล้มเหลวของผมเป็นข่าวดังครึกโครม จนผมอยากจะหนีไปจากวงการคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีบางอย่างเริ่มชี้ทางสว่างให้แก่ผมว่า ถึงอย่างไรผมก็รักในสิ่งที่ผมทำ เหตุการณ์ที่พลิกผันในแอปเปิ้ลนั้นไม่ได้เปลี่ยนความรักนั้นแม้แต่น้อย ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

ผมได้มาเรียนรู้ในภายหลังว่า การที่ถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ล เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม จากเมื่อก่อนที่ต้องแบกความสำเร็จไว้บนบ่ามาตลอด ถูกแทนที่ด้วยความโล่งสบาย ที่ได้กลับมาเป็นมือใหม่อีกครั้ง ผมมั่นใจน้อยลง แล้วสิ่งนี้ก็ช่วยปลดปล่อยให้ผมกลับสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของผม 5 ปี ต่อมาผมตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า NeXT แล้วก็ Pixar และผมก็ได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเธอกลายมาเป็นภรรยาของผม Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก นั่นคือ Toy story และในขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนแอนนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลก

และต่อมาเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรรกลายเป็นว่า Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ผมได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เราได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟู Apple ในที่สุด ส่วนผมกับ ลอร์เรนซ์ ก็มีครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน
ผมคิดว่าเรื่องทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้ ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ล มันเป็นยาขมสำหรับผม แต่อย่างไรเสียคนป่วยก็ต้องการยา ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับคุณบ้าง แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อ เพราะผมเองก็เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมลุกขึ้นเดินต่อไปได้ ก็คือ ความรักในสิ่งที่ผมทำ

ดังนั้น คุณจึงต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ สิ่งนี้จะเป็นจริงทั้งในเรื่องงานและเรื่องความรัก เพราะคุณจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณพอใจกับชีวิตได้อย่างแท้จริง ก็คือ การได้ทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และอย่าพึ่งยอมหยุดอยู่กับที่ หัวใจของคุณจะบอกกับคุณเองเมื่อคุณได้พบกับมัน

มันก็เหมือนกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ดีๆ ก็คือ ยิ่งนานวันเข้าเราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งใช่ ดังนั้น จงค้นหาต่อไป อย่าหยุดจนกว่าจะเจอ

เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับ ความตาย ตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมได้อ่านคำคมหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน” ผมรู้สึกประทับใจมาก และตลอด 33 ปี ที่ผ่านมา ผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า

“ถ้าผมมีชีวิตอยู่ในวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำวันนี้หรือเปล่า?”

แล้วถ้าคำตอบคือ “ไม่” ติดๆกันหลายๆวัน ผมก็จะรู้แล้วว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนอะไรสักอย่าง วิธีคิดที่ว่า คนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ที่จะช่วยทำให้ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ๆในชีวิตได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้า หรือความล้มเหลว จะหมดความหมายไปโดยปริยาย เมื่อความตายมาถึง เหลือไว้ก็เพียงสิ่งสำคัญอย่างแท้จริงเท่านั้น การเตือนตัวเองว่า เราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก ที่จะช่วยไม่ให้เราติดอยู่กับความคิดหวาดกลัวความสูญเสีย เพราะเมื่อตายไปแล้ว เราก็เหลือแต่ร่างที่เปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ

เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมทำการตรวจร่างกายตอนเช้า 7.30. ผลที่ได้ปรากฏชัดเจนว่า ผมมีก้อนเนื้อในตับอ่อน ผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ตับอ่อน มันอยู่ตรงไหน ต่อมาหมอก็บอกว่า มะเร็งชนิดนี้เป็นชนิดที่แทบจะรักษาไม่ได้ ผมคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน หมอแนะนำว่า ผมควรจะกลับไปจัดการธุระที่บ้านให้เรียบร้อยซะ ความหมายอีกนัยหนึ่งของหมอ ก็คือ ให้เตรียมตัวตายได้แล้ว หมายถึง ให้กลับไปสั่งเสียลูกๆ ทั้งๆที่ตอนแรกคุณนึกว่า คุณจะได้มีเวลากับเขาอีกสัก 10 ปี แทนที่จะเป็น 2-3 เดือน หมายถึง สะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยซะ เพื่อคนในครอบครัวจะได้ไม่ต้องมายุ่งยากทีหลัง และหมายถึง เตรียมตัวบอกลาได้ วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาไปกับการตรวจร่างกาย พอตกเย็นผมก็ถูกตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ วิธีก็คือ หมอจะแย่ท่อยาวๆลงไปผ่านลำคอ ท้อง ลำไส้ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไปที่ตับอ่อนของผม เพื่อเอาเซลล์ส่วนหนึ่งจากก้อนเนื้อที่อยู่ในนั้น ตอนนั้นผมยังสลบอยู่ แต่ภรรยาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า พอหมอเห็นเซลล์ที่อยู่ใต้กล้องจุลทรรศน์แล้ว หมอก็เริ่มร้องไห้ เพราะปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้น เป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายนัก และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมเข้ารับการผ่าตัด และขอบคุณพระเจ้า ตอนนี้ผมหายดีแล้ว

นั่นเป็นครั้งที่ผมเฉียดความตายมากที่สุดในชีวิต และหวังว่าขอให้เป็นอย่างนั้นอีกสักหลายๆปี แต่พอผมผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ มันก็ทำให้ผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำกับพวกคุณว่า ความตายเป็นประโยชน์ และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสติปัญญาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ ก็ยังไม่อยากตายก่อนจะได้ขึ้นสวรรค์

อย่างไรก็แล้วแต่ ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างจะต้องไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะความตายเป็นเหมือนประดิษฐ์กรรมสุดยอดสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง เป็นการชำระล้างสิ่งเก่าๆ เพื่อรอรับสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้สิ่งใหม่ๆนั้นก็คือ “คุณ” แต่อีกไม่นานจากนี้ไป คุณจะเริ่มกลายเป็นสิ่งเก่าๆ และก็ถูกเลือนหายไป ขอโทษด้วยครับที่ผมพูดตรงไปหน่อย แต่มันเป็นความจริง

เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้น อย่าเสียเวลาใช้ชีวิตใต้เงาของคนอื่น อย่ายอมให้ถูกตีกรอบด้วยกฎเกณฑ์ เพราะมันคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่นนั่นเอง อย่าให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่นกลบเสียงที่อยู่ภายในของคุณจนหมดสิ้น และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจและสัญชาตญาณของตัวเองเสมอ เพราะบางทีสองสิ่งนี้อาจรู้อยู่แล้วว่า ความจริงแล้วคุณต้องการจะเป็นอะไร นอกจากนี้แล้วทุกอย่างเป็นเรื่องรองลงไปหมด

ตอนที่ผมยังเด็ก มีวารสารแคตตาล็อกที่เจ๋งมากเล่มหนึ่ง ชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเปรียบได้กับคัมภีร์ของคนยุคผมเลยทีเดียว เจ้าของวารสารเล่มนี้ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอาศัยอยู่ใน Menlo Park ไม่ไกลจากที่นี่ เขาทำให้วารสารเล่มนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ด้วยสำนวนการเขียนที่น่าประทับใจ ยุคนั้นเป็นปลายยุค 1960 ก่อนมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ คอมพิวเตอร์สำหรับงานสั่งพิมพ์ซะอีก ทุกหน้าพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ใช้กรรไกรตัดแปะ ใช้รูปถ่ายจากกล้องโพลารอยด์  วารสารนี้เปรียบเทียบได้กับ Google ในรูปแบบกระดาษ เพียงแค่มันเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นวารสารที่เปี่ยมไปด้วยอุดมคติ และท่วมท้นไปด้วยไอเดียที่บรรเจิด และเครื่องมือเจ๋งๆ Stewart และทีมงาน ได้ผลิต The Whole Earth Catalog ขึ้นมาหลายฉบับ

จนกระทั่งเมื่อถึงวาระของมันนิตยสารนี้ก็มาถึงฉบับสุดท้าย นั่นเป็นช่วงการยุค 1970 ซึ่งตอนนั้นผมอายุเท่าๆพวกคุณที่นี่ ด้านหลังของปกวารสารฉบับสุดท้าย เป็นรูปถ่ายถนนในชนบทเส้นหนึ่งในยามเช้า เป็นภาพที่จะกระตุ้นต่อมอยากของนักผจญภัยได้ ใต้รูปมีคำพูดประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า “จงหิวโหยอยู่เสมอ จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ถือเป็นข้อความอำลาก่อนที่วารสารเล่มนี้จะปิดตัวลง “จงหิวโหยอยู่เสมอ จงโง่เขลาอยู่เสมอ” เป็นคำที่ผมขอให้ตัวผมเองเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ

และในวันนี้วันที่พวกคุณได้เป็นบัณฑิต กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมขออวยพรด้วยคำพูดประโยคเดียวกันนี้ “จงหิวโหยอยู่เสมอ จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ขอบคุณทุกท่านครับ


.............................................................................................

โดย พละชัย ฟูเกียรติพงษ์